“คาสึมิ” VS “ริบเปิล” ไข่มุกแฝด(แต่)คนละฝา

Last updated: 9 พ.ย. 2565  |  732 จำนวนผู้เข้าชม  | 

“คาสึมิ” VS “ริบเปิล” ไข่มุกแฝด(แต่)คนละฝา

พี่พรายเชื่อว่าหลายๆ ท่านคงเคยได้ยินชื่อไข่มุก Kasumi Pearls จากประเทศญี่ปุ่น มาบ้าง หรือบางท่านอาจจะมีไว้ในครอบครองอยู่ก็เป็นได้ ในช่วงหลังๆ เหมือนว่า Ripple Pearls ไข่มุกสายพันธุ์น้ำจืดลูกผสมจากประเทศจีนจะครองตลาดไข่มุกลูกผสมแทนที่ Kasumi Pearls ไปเสียแล้ว แต่ชื่อเสียงของ Kasumi Pearls ในท้องตลาด ก็ยังเป็นที่เลื่องลือ จนกลายเป็นสินค้าพรีเมี่ยม หายาก ราคาสูง ในตลาดนักสะสมไปเสียแล้ว

วันนี้พี่พรายจึงขอมาสาธยายถึงที่มาที่ไปของไข่มุก Kasumi และ Ripple Pearls แบบจบๆ เรื่องราวจะเป็นอย่างไรไปติดตามกันครับ

Kasumi Pearls หรือไข่มุก “คาสึมิ” คือไข่มุกสายพันธุ์น้ำจืดลูกผสมที่มีแหล่งเพาะเลี้ยงในทะเลสาบ Kasumigaura ประเทศญี่ปุ่น ในช่วง ปีค.ศ. 1962 ไข่มุก Kasumi Pearls เป็นผลผลิตจากการผสมข้ามสายพันธุ์ (Hybrid) ของหอยสายพันธุ์ Hyriopsis Schlegelii หรือ หอยบิวะ (Biwa) ญี่ปุ่น กับหอยสายพันธุ์ Hyriopsis Cumingii หรือหอยสามเหลี่ยมจากประเทศจีน โดยใช้ระบบการเลี้ยงแบบ Bead Nucleus หอย 1 ตัวเลี้ยงไข่มุก 1 เม็ด ซึ่งช่วงนั้นถือว่าเป็นช่วงพีคสุดของอุตสาหกรรมการเพาะเลี้ยงไข่มุกน้ำจืดในประเทศญี่ปุ่นก็ว่าได้

แต่ด้วยการเติบโตของชุมชนรอบทะเลสาบ และการทำประมงเกินขีดจำกัด (Over Fishing) ทำให้เกิด เกิดมลพิษ และอุปสรรคในการเพาะเลี้ยงไข่มุกในพื้นรอบๆทะเลสาบ Kasumigaura จนทำให้ฟาร์มไข่มุกหลายๆฟาร์มได้เลิกกิจการไปเพราะได้ผลผลิตต่ำโดยในปัจจุบันยังหลงเหลือฟาร์มที่เพาะเลี้ยงไข่มุก Kasumi ในพื้นที่ทะเลสาบ Kasumigaura อยู่เพียง 3 ฟาร์มเท่านั้นในตอนนี้ โดยมีผลผลิตน้อยกว่า 40 กิโลกรัมต่อปี

ดังนั้นไข่มุก Kasumi ที่เป็นผลผลิตในช่วงปี ค.ศ. 1970 ถึงต้นปี ค.ศ. 1980 จึงขึ้นชื่อว่าเป็นไข่มุก Kasumigaura สายพันธุ์แท้และดั้งเดิมที่สุด ที่ซื้อ-ขายกันอยู่ในกลุ่มนักสะสมเพียงเท่านั้น

เมื่อ Kasumi Pearls เข้าสู่ตลาดโลกครั้งแรกในงาน Hong Kong Jewelry Shows เมื่อปี ค.ศ. 2009 ด้วยความงาม แปลกใหม่ และมีเอกลักษณ์ที่โดดเด่นกว่าไข่มุกทั่วไป ได้สร้างปรากฎการณ์ และผลกระทบให้กับตลาดไข่มุกอย่างกว้างขวาง จนทำให้ราคาของไข่มุก Kasumi Pearls พุ่งสูงทะยานนำหน้าไข่มุกหลายๆสายพันธุ์เลยทีเดียว ณ ตอนนั้น

ต่อมาเมื่อมีการเพาะเลี้ยงไข่มุกสายพันธุ์ลูกผสม เข้าสู่ประเทศจีน (บ้างก็ว่าท่าน Kokichi Mikimoto นำหอยสามเหลี่ยมไปทดลองเลี้ยงในประเทศญี่ปุ่นแล้วเกิดการผสมข้ามสายพันธุ์โดยบังเอิญ บ้างก็ว่ามีเกษตรกรผู้เลี้ยงไข่มุกนำแม่หอยบิวะจากญี่ปุ่นไปเพาะเลี้ยงในประเทศจีน โดยนำไปใส่บ่อเลี้ยงเดียวกันกับหอยสายพันธุ์ท้องถิ่น จนเกิดการผสมข้ามสายพันธุ์) กอรปกับปริมาณความต้องการ และราคาที่สูงขึ้นมากของไข่มุก Kasumi ในท้องตลาดในขณะนั้น จึงทำให้เกษตรกรผู้เพาะเลี้ยงหอยมุกชาวจีน หันมาเพาะเลี้ยงหอยมุกสายพันธุ์ Hybrid กันเป็นจำนวนมาก แต่ด้วยเทคโนโลยี เทคนิคการเลี้ยง การคัดเลือกสายพันธุ์ และองค์ความรู้ในการเพาะเลี้ยงไข่มุกสายพันธุ์ใหม่ที่ด้อยกว่าประเทศญี่ปุ่นมาก จึงทำให้ประเทศจีนผลิตไข่มุกสายพันธุ์ใหม่ได้ในปริมาณมากแต่คุณภาพยังห่างชั้นกับไข่มุกที่ผลิตในประเทศญี่ปุ่นอยู่มากเช่นกัน

เมื่อไข่มุกสายพันธุ์ใหม่หลั่งไหลเข้าสู่ตลาดโลก คราวนี้ก็เดือดร้อนผู้บริโภคอย่างเราๆ แล้วสิครับ เพราะไข่มุก Kasumi สายพันธุ์ดั้งเดิมจากประเทศญี่ปุ่นนั้นรู้กันว่าผลิตได้น้อยแต่คุณภาพสูง หายาก และเป็นที่ต้องการของท้องตลาด จนทำให้เกิดความสับสนระหว่างไข่มุกน้ำจืดลูกผสมที่ผลิตได้มากในประเทศจีนแต่คุณภาพต่ำกว่า กับไข่มุก Kasumi สายพันธุ์ดั้งเดิม

ดังนั้นจึงมีการบัญญัติคำว่าไข่มุก Ripple Pearls (ไข่มุกลอนคลื่น เรียกตามลักษณพื้นผิวของไข่มุก) ขึ้นในหมู่ Dealers เพื่อใช้เรียกขานไข่มุกสายพันธุ์ Hybrid ที่ผลิตในประเทศจีน ทั้งนี้ทั้งนั้นก็เพื่อป้องกันความสับสนกับไข่มุกสายพันธุ์ลูกผสมแบบดั้งเดิมที่ผลิตในประเทศญี่ปุ่น ต่อมาคำว่า Ripple Pearls จึงได้แพร่หลายไปในวงกว้าง จนปัจจุบัน คำว่า Ripple Pearls นั้น อาจจะหมายถึงไข่มุกน้ำจืดที่ใช้เทคนิคการผสมข้ามสายพันธุ์ที่มาจากแหล่งดั้งเดิม (ประเทศญี่ปุ่น) และไข่มุกที่มิใช่มาจากแหล่งดั้งเดิมอีกด้วยครับ

ปัจจุบันไข่มุก Ripple Pearls ที่ถูกเลี้ยงในประเทศจีนนั้น มีคุณภาพทัดเทียมกับแหล่งดั้งเดิมเป็นอันมากแล้วครับ เนื่องจากการถ่ายทอดเทคโนโลยีการเลี้ยงไข่มุกจากฟาร์มสู่ฟาร์ม การคัดเลือกสายพันธุ์แม่หอย โดยผู้เชี่ยวชาญ การเลี้ยงในระบบปิดที่ควบคุมอัตราผลผลิตได้ ฯลฯ จึงทำให้ไข่มุก Ripple Pearls นั้น เป็นที่ยอมรับอย่างกว้างขวางในตลาดซื้อขายไข่มุกทั่วโลก

ไข่มุก Ripple Pearls เป็นอีกหนึ่งทางเลือกของผู้สวมใส่ไข่มุกที่ไม่ได้เน้นความสมบูรณ์แบบของเม็ดมุก เพราะลักษณะทางกายภาพของไข่มุกลูกผสมชนิดนี้นั้น มีความโดดเด่นในด้านความเงาวาว (Luster) ที่มีพื้นผิวที่ยับย่นแต่มีความมันเงาและมีสีสัน Iridescent เข้มแบบฟองสบู่ (Oil Slick) จากเมื่อก่อนที่วงการเครื่องประดับนิยมนำไข่มุก Ripple Pearls มาทำเป็นเครื่องประดับที่เน้นโชว์ความเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว และสีสันของเม็ดมุก (Unique) มากกว่าการสวมใส่จริงในชีวิตประจำวัน กลับกันในปัจจุบันด้วยผลผลิตที่เข้าสู่ตลาดในปริมาณมาก ราคาที่ถูกลง จึงทำให้ Ripple Pearls ถูกนำมาสวมใส่ในชีวิตประจำวันมากขึ้น จนกลายเป็น Items ที่ Pearl Lovers หลายๆท่านขาดไม่ได้ไปเสียแล้ว

เอาละครับ หวังว่าสาระน่ารู้ที่พี่พรายนำมาฝากในวันนี้จะถูกใจบรรดา Pearl Lovers ทั้งหลายของ PAKASIA นะครับ ถ้าเห็นว่าบทความนี้ดีมีประโยชน์ ช่วยกด Like กด Share ให้พี่พรายด้วยนะครับ ถ้าท่านมีข้อสงสัยประการใดสอบถามพี่พรายเข้ามาได้นะครับ ตามช่องทางดังนี้ครับ


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว  และ  นโยบายคุกกี้